Monday, May 20, 2024
เที่ยวไปรักษ์ไป

แรมคืนในสถานอนุรักษ์

นิตยสารอนุรักษ์ ฉบับที่ 71
เรื่อง: ศิริวรรณ เต็มผาติ

ไม่ว่าจะเป็นมรดกทางธรรมชาติ หรือสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรม เมื่อนี่คือสิ่งควรค่าแก่การอนุรักษ์ เราจึงได้เห็นโรงแรมที่พิเศษไม่ธรรมดา ๓ แห่งนี้

โรงแรมเรือนจำ

ที่ Cornwall เมืองท่องเที่ยวริมทะเลทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ ไม่เพียงเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยชายหาดอันสวยงาม บรรยากาศของเมืองที่เสมือนย้อนอดีตไปไกลและอาหารทะเลสดอร่อย ที่นี่ยังมีสถานที่ซึ่งนักเดินทางจำนวนมากมักไม่พลาดไปเยี่ยมเยือน นั่นคือเรือนจำที่มีชื่อว่า Bodmin Jail  และในเรือนจำแห่งนี้มีโรงแรม Bodmin Jail เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปเรือนจำในสมัยนั้น สร้างขึ้นเมื่อปี ๑๗๗๘ ภายใต้การกำกับดูแลของ เซอร์ จอห์น คอล (Sir John Call) วิศวกรทหาร การก่อสร้างใช้แรงงานของนักโทษสงครามยุคนโปเลียน ใช้หินแกรนิต ๒๐,๐๐๐ ตัน ที่นำมาจาก Bodmin Moor (ทุ่งหินแกรนิตในคอร์นวอลล์ มีอายุตั้งแต่ยุคคาร์บอนิเฟอรัสของประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยา ซึ่งในอดีตนั้นเป็นที่ยากต่อการเข้าถึง เต็มไปด้วยอันตราย และร่ำลือกันว่ามีวิญญาณหลอกหลอน แต่ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ)

ด้วยแผนการปฏิรูปเรือนจำ ทำให้ Bodmin Jail กลายเป็นหนึ่งในเรือนจำที่ทันสมัยแห่งแรกๆ ของอังกฤษ มีการแยกห้องขังเป็นห้องเดี่ยวๆ มีการจัดแบ่งแยกพื้นที่หญิงและชายออกจากกัน มีน้ำร้อน แสงสว่าง และพื้นที่เปิดโล่งรับอากาศบริสุทธิ์ให้นักโทษได้ใช้ชีวิตและทำงาน นอกจากนี้นักโทษยังมีรายได้จากการผลิตสินค้ามาจำหน่ายอีกด้วย ในปี ๑๘๘๗ ส่วนหนึ่งของคุกแห่งนี้ก็ถูกครอบครองโดยราชนาวี ยาวนานไปถึงปี ๑๙๒๒ อีก ๕ ปีต่อมา Bodmin Jail ปิดตัวลงเนื่องจากจำนวนนักโทษที่ลดลงอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากสงคราม ให้หลังอีก ๒ ปี สถานที่แห่งนี้ก็ขายให้กับนักธุรกิจที่มีอาชีพทำงานรื้อถอน เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเรือนจำแห่งนี้ก็คือ มีนักโทษที่ถูกลงทัณฑ์ด้วยการแขวนคอตายมาแล้วถึง ๕๕ คน เป็นการชำระโทษจากคดีฆาตกรรม ข่มขืน รวมถึงการขโมย ในยุคนั้นจะมีการป่าวประกาศให้ผู้คนรับทราบโดยทั่ว และก็จะมีผู้คนแห่แหนมาร่วมชุมนุมเป็นสักขีพยานนับพันคน

ช่วงปี ๑๙๓๐ อดีตเรือนจำแห่งนี้ได้แปลงร่างเป็นคาสิโน ไนท์คลับ และมีการจัดแสดงการแขวนคอจำลองเพื่อเรียกความสนใจของผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักพนันและนักเที่ยวกลางคืน ต่อมาในช่วงทศวรรษ ๑๙๙๐ ได้กลายเป็นผับ กาลเวลาผ่านไปความเสื่อมของอาคารก็ปรากฏให้เห็นมากขึ้น หลังคาชำรุด ผนังบางแห่งเริ่มแตกแยกเป็นช่อง มีบางคนพยายามจะกู้ซากผนัง แต่เพราะถูกสร้างมาอย่างดีและหนามาก คือมีความหนามากกว่า ๑ เมตร จึงทำให้เป็นไปไม่ได้เลย กระทั่งปี ๒๐๐๔ ครอบครัว Wheten ได้ซื้อคุกเก่าแห่งนี้ไป จึงมีเงินเข้ามาซ่อมแซมกำแพง เปลี่ยนสภาพอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว บอกเล่าเรื่องราวของนักโทษและอีกหลายชีวิตภายในกำแพงแห่งนี้

วันหนึ่งในปี ๒๐๑๕ มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวรัสเซีย Timur Gorman เดินทางมาฮอลิเดย์ที่คอร์นวอลล์พร้อมครอบครัว และได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปเยี่ยมชม Bodmin Jail สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาโดยฉับพลันคือ เขาตกหลุมรักอาคารที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และเห็นคุณค่าของมรดกทางประวัติศาสตร์ซึ่งซุกซ่อนไว้หลังทางเดินมืด ๆ และลูกกรงที่สกปรก เขาอยากช่วยอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ของอาคารและบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ใช้ชีวิตและทำงานภายในกำแพงหนานี้มานานหลายศตวรรษ เขามองเห็นภาพในการเปลี่ยนแลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับเวิลด์คลาสส์และกลายเป็นโรงแรมหรูที่ผู้คนอยากจะเข้ามาพัด ด้วยเงินลงทุน ๖๐ ล้านปอนด์ กอปรกับการใช้เวลาในการวางแผน ปรับปรุง ออกแบบ และการทำงานของหลายฝ่ายอีกเป็นเวลา ๖ ปี ในที่สุด Bodmin Jail ก็เปิดตัวให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้งในเดือนตุลาคม ๒๐๒๐ จนถึงวันนี้ยังมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาแน่นขนัด ผู้เข้าชมล้น จนต้องมีการแนะนำให้จองล่วงหน้า

และแน่นอนราวหนึ่งปีถัดมาหลังการเปิดเรือนจำ Bodmin Jail Hotel บูทีคโฮเทลระดับ ๕ ดาว ก็เปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือน ตัวโรงแรมตั้งอยู่ในอาคารส่วนหนึ่งซึ่งเคยเป็นเรือนจำ เป็นอาคารที่อยู่ในลิสต์ Grade II ได้รับการออกแบบให้ร่วมสมัยและสร้างความกลมกลืนไปกับรูปแบบรายละเอียดบางอย่างของสิ่งก่อสร้างเดิม ผนังหินแข็งแกร่งยังคงอยู่ ห้องนอนขนาด ๗๐ ห้อง ซึ่งสร้างมาจากห้องขังเดิม ๓ ห้อง ได้รับการตกแต่งอย่างมีสไตล์

คุกในศตวรรษที่ ๑๘ จึงได้ฟื้นคืนมีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วยประการฉะนี้

โรงแรมอนุรักษ์ถ้ำ
 

Sextantio Le Grotte Della Civita ได้รับการยกให้เป็นโรงแรมแห่งเดียวในโลกที่มีโครงสร้างเป็นธรรมชาติสุดยอด ตอนที่ Daniele Kihlgren นักปรัชญาชาวอิตาเลียนสวีดิชมาค้นพบบ้านถ้ำนี้ เขาติดใจในทางเข้าซึ่งเป็นหินซุ้มโค้งสวยงาม ตำแหน่งที่ตั้งซึ่งอยู่บนยอดเขา เอื้อให้เห็นทัศนียภาพงดงามได้แบบพาโนรามา หลังใช้เวลาตรองไม่นานนัก เขาตัดสินใจใช้เงินที่มีเป็นใบเบิกทางในการฟื้นชีวิตให้บ้านถ้ำแห่งนี้

ก่อนหน้านั้น บรรดาบ้านถ้ำในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน เขาเริ่มต้นการการปรับปรุงถ้ำให้เป็นโรงแรมด้วยความพิถีพิถัน ไม่ได้เพียงแค่เป็นการอนุรักษ์ถ้ำโบราณสร้างเป็นโรงแรม แต่ยังได้นำเอาเทคนิกและเครื่องมือแบบดั้งเดิมมาใช้ในการก่อสร้างด้วย เขาใช้คอนเซ็ปต์ที่เรียกกันในภาษาอิตาเลียนว่า ‘Albergo diffuso’ (แนวคิดใหม่ในการบริการด้านการท่องเที่ยว กำเนิดขึ้นในอิตาลีช่วงต้นทศวรรษ ๑๙๘๐ มีรูปแบบในการฟื้นฟูหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของอิตาลี และตั้งอยู่นอกเส้นทางท่องเที่ยวตามปกติ ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวน่าประทับใจ) ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมีประสบการณ์การใช้ชีวิตในถ้ำซึ่งเคยเป็นบ้านของคนยุคหินมาก่อน และได้ลิ้มลองอาหารอร่อยจากร้านค้าท้องถิ่น ทำให้ผู้คนจำนวนมากหวนกลับมายังหมู่บ้านแห่งนี้ สร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในชุมชน คิลเกรน เจ้าของโรงแรมถ้ำแห่งนี้บอกว่า ลูกค้าที่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ คือคนที่เข้าใจในเรื่องมานุษยวิทยาอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเอง และเป็นผู้ที่ให้ค่าในสิ่งที่มีคุณค่าแท้จริง

โรงแรมถ้ำมีห้องพักทั้งหมด ๑๘ ห้อง ประตูห้องทำจากไม้เก่า เมื่อใช้กุญแจแบบโบราณดอกใหญ่ไขเข้าห้อง แสงจากเทียนไข จะเผยให้เห็นการตกแต่งอันเรียบง่ายทว่ามีสไตล์ บรรดาเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง และวัสดุส่วนมากเป็นของท้องถิ่น ขับบรรยากาศการพักในถ้ำให้อบอุ่นน่าอยู่ เตียงนอนที่มีเครื่องนอนคุณภาพดี และอ่างอาบน้ำหินผิวสัมผัสเนียนละเมียดที่ดีไซน์งดงาม ให้ความรู้สึกหรูหรายิ่งของการนอนถ้ำ วิวเบื้องล่างจากห้องนอนคือภาพของเมืองที่เคยเป็นฉากในภาพยนตร์ 007-No Time To Die

Sextantio Le Grotte Della Civita ได้รับรางวัล World Most Authentic Hotel Award 2009 เป็นโรงแรมถ้ำแห่งแรกที่ได้ชื่อว่าโรแมนติกที่สุด

โรงแรมอนุรักษ์ป่าดงดิบ

ข้ามทวีปไปที่อเมริกาใต้สู่ประเทศเอกวาดอร์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ทั้งทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มุ่งตรงมาที่เมืองหลวง Quito ที่ซึ่งรวมเอาไว้ทั้งมรดกทางสถาปัตยกรรมและธรรมชาติสุดแสนอัศจรรย์ 
 
ในดินแดนที่ห่างไกลออกไปของเมืองกีโต เป็นที่ตั้งของสถานที่สงวนนิเวศน์วิทยาของเอกชน ซึ่งอยู่ในเขตเปลี่ยนสภาพระหว่างป่าเมฆและป่าฝน บริเวณนี้ภูเขาสูงใหญ่มักจะถูกปกคลุมด้วยสายหมอกทอดยาวเกือบตลอดเวลา และตรงจุดนี้เองคือที่ตั้งของ Mashpi Lodge หนึ่งใน ๕๘ โรงแรมทั่วโลกที่อยู่ในลิสต์ National Geographic Unique Lodges of The World (โรงแรมที่ถูกคัดเลือกโดย National Geographic เป็นโรงแรมที่ทำให้แขกผู้เข้าพักได้สัมผัสกับมรดกโลก และนำรายได้เพื่อมาช่วยทะนุบำรุงสถานที่แห่งนั้นอย่างต่อเนื่อง โรงแรมแต่ละแห่งต้องได้มาตรฐานทั้งด้านความหรูหรา ความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และความรับผิดชอบต่อสังคมท้องถิ่น)

เรื่องเริ่มต้นในปี ๒๐๐๑ เมื่อ Roque Sevilla นักธุรกิจและอดีตนายกเทศมนตรีของเมืองกีโต ตัดสินใจนำเงินออมของเขามาซื้อส่วนหนึ่งของผืนป่า Ecuadorian Choco ด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะปกป้องผืนป่าที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติแห่งนี้ ก่อนหน้านั้นป่าแห่งนี้ถูกทำลายมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้วยการตัดโค่นต้นไม้และการทำเหมืองทอง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาไม่ใช่แค่จำนวนต้นไม้ในป่าที่หดหายไปอย่างมาก แต่ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ในป่าอีกด้วย

หลังจากที่เขาซื้อป่าแห่งนี้มา เซวิลลาใช้เวลาเกือบ ๑ ทศวรรษ ในการพยายามสงวนพื้นที่อนุรักษ์ส่วนตัวแห่งนี้ ทำให้สัตว์ป่าและระบบนิเวศน์ฟื้นคืน เห็นได้จากจำนวนผีเสื้อสีน้ำเงิน (Electric Blue Butterfly เป็นผีเสื้อพันธุ์ที่หายากที่สุด) ที่โบยบินในป่า และกบที่ประสานเสียงร้องกระหึ่มตอนกลางคืน ด้วยความงามและความอัศจรรย์ของธรรมชาติเมื่อป่ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทำให้เขาอยากให้คนอื่นๆ ได้รับรู้และสัมผัสเช่นกัน เซวิลลาตัดสินใจสร้าง Mashpi Lodge อันน่าทึ่งขึ้นมาในผืนป่าที่มีค่าแห่งนี้ เซวิลลาบอกว่าอยากกระตุ้นให้ผู้คนได้รู้จักใกล้ชิดกับโลกของความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านเส้นทางการเดินป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ พันธุ์พืช สัตว์ป่า แมลง ได้รู้สึกถึงกระแสน้ำที่ไหลผ่านโตรกหิน น้ำตกที่พรั่งพรู รวมถึงหมู่เมฆที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง

การก่อสร้างตัวอาคารโรงแรมใช้อาณาบริเวณที่เป็นโรงเลื่อยไม้เก่า ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่มีต้นไม้แม่แต้ต้นเดียวโดนโค่นในช่วงกระบวนการก่อสร้าง ยิ่งไปกว่านั้นโครงสร้างส่วนใหญ่ได้ประกอบมาก่อนแล้วในเมืองกีโต เพื่อเป็นการลดทอนผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นกับป่าให้น้อยที่สุด เจ้าของโรงแรมคนนี้ ไม่คิดแข่งขันกับธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อไอเดียการนอนพักในป่าฝนผุดขึ้น การใช้กระจกซึ่งเป็นวัสดุที่มีความยั่งยืนก็เกิดขึ้นเพื่อให้แขกรู้สึกสัมผัสได้ถึงความเป็นป่าตลอดเวลา ห้องพัก ๒๐ ห้องและห้องสวีท ๓ ห้อง เปิดให้เห็นวิวป่า ส่วนพื้นที่สาธารณะ บาร์ ห้องอาหารมีผนังเป็นกระจกสูงจากพื้นจรดเพดานเพื่อเปิดให้เห็นผีเสื้อมากมายโบยบินและนกนานาที่โผบินไปจากต้นไม้นี้ไปยังต้นไม้โน้น (ในป่ามีนกราว ๔๐๐ สายพันธุ์ ในจำนวนนี้มี ๓๖สายพันธุ์ที่หาไม่ได้ที่ไหนในโลก)

แน่นอนว่าที่พักนั้นสุดแสนสบาย แต่เซวิลลาก็ต้องการให้แขกได้สัมผัสการท่องป่าเช่นกัน เส้นทางเดินป่านั้น เป็นทางเดินเดียวกันกับแมวป่าโอเซลอต แมวเสือออนซิลลา และเสือพูมา ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะมีไกด์ท้องถิ่นผู้ชำนาญนำทางและให้ความรู้เรื่องต่างๆ ในป่า และไม่เพียงไกด์ พนักงานอื่นๆ ของโรงแรมเกือบทั้งหมด รวมทั้งนักชีววิทยาประจำโรงแรมล้วนเป็นคนท้องถิ่น การเกิดขึ้นของเขตสงวน Mashpi จึงไม่เพียงเป็นการอนุรักษ์ป่า แต่ยังทำให้คนท้องถิ่นมีเส้นทางอาชีพใหม่ มีโอกาสสร้างรายได้ และกลายเป็นพวก ‘รักษ์ป่า’ สิ่งที่เยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีกคือการเปิดโอกาสให้พนักงานได้กลายมาเป็นผู้ถือหุ้น และให้คนในชุมชนมีโอกาสนำเสนอพืชผลทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ก่อนใครอื่นด้วย

นี่จึงคือโรงแรมที่เปี่ยมด้วยหัวใจแห่งการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนแท้จริง

About the Author

Share:
Tags: โรงแรม / hotel / ฉบับที่ 71 /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ