Sunday, May 19, 2024
ชื่นชมอดีต บทความแนะนำ

ตะลุยอู่อารยธรรมล้านนา และประวัติศาสตร์นอกไมค์ (๑)

บรรยากาศในช่วงค่ำนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกลับที่พัก แสงไฟช่วยเสริมให้พระอุโบสถ เจดีย์ประธาน และวิหารลายคำดูมลังเมลือง งามแปลกตาจากช่วงกลางวัน

ตะลุยอู่อารยธรรมล้านนา

และประวัติศาสตร์นอกไมค์ (๑)

            วันหยุดยาวมาแล้ว ลมหนาวก็มาแล้ว เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างพร้อมอย่าให้เรื่องงานมาทำให้เรื่องเที่ยวต้องเสีย เก็บกระเป๋าแล้วไปตะลุยภาคเหนือกัน!

            ความโดดเด่นอย่างหนึ่งของศิลปวัฒนธรรมภาคเหนือ นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรล้านนามา จนกระทั้งไปอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าบ้าง หรือสลับมาอยู่ภายใต้การครอบครองของสยามบ้าง ตามพิสัยของแคว้นกันชน แต่เอกลักษณ์ของความเป็นล้านนาก็ไม่เคยจืดจาง แสดงถึงความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมที่พวกเขามี

            ก่อนอื่นขอให้สังเกตลำดับการสืบสันตติวงศ์เพื่ออรรถรสในการอ่านตำนาน พญามังราย พญาไชยสงคราม พญาแสนภู พญาคำภู พญาผายู พญากือนา พญาแสนเมืองมา พญาสามฝั่งแกน และ พญาติโลกราช

 เอ้า! เรียบร้อยแล้วก็ไปลุยไปกันเลย

            แต่…ไม่ว่าจะเป็นสายมู สายเช็คอินก็ดี เวลามาท่องเที่ยวกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หากเราไม่เข้าใจความไหว้ ก็เหมือนกับทำไปอย่างอย่างนั้นๆ หัวใจยังไม่ฟู(ล) ความรู้สึกยังไม่เต็มอิ่ม  การเดินทางครั้งนี้จึงพาไปชื่นชมรูปแบบศิลปกรรมรวมทั้งคติในการสร้างตามเส้นทางเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และวนกลับมาจบการเดินทางที่เชียงใหม่

พระพุทธสิหิงค์หรือพระสิงห์ในวิหารลายคำ เป็นพุทธลักษณะอย่างที่เรียกว่า “เชียงแสนสิงห์ ๑” ผนังด้านหลังพระสิงห์เขียนลายคำรูปโขงพระและหงส์ โขงพระในภาษากลาง หมายถึง บุษบก คือปราสาทที่ล่องลอยอยู่บนสวรรค์ หงส์ คือ สัตว์สวรรค์ ภาพทั้งหมดที่ฉากหลังจึงสือถึงพระพุทธเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ ถ้าสังเกตเศียรของพระสิงห์จะมีขนาดเล็กไม่ได้สัดส่วนกับลำตัว เนื่องมาจากในสมัยเจ้าแก้วนวรัต์ เป็นช่วงที่ชาวตะวันตกยุคแรกเข้ามาแสวงหาและตัดเศียรพระไปเป็นจำนวนมาก ภายหลังจงได้เศียรของพระสิงห์ขึ้นใหม่

วันแรก เชียงใหม่ วัดพระสิงห์

เริ่มต้นวันกันที่วัดพระสิงห์ซึ่งถือว่าเป็นวัดรุ่นแรกๆ ของล้านนาก็ว่าได้ แต่เดิมบริเวณนี้เป็นกาด (ตลาด) ชื่อว่า “กาดลีเชียง” ตามประวัติที่พบในทุกๆ เว็ปไซต์การท่องเที่ยวระบุ คือ เริ่มสร้างในสมัย “พญาผายู”…แล้ว พญาผายูคือใคร คงต้องเท้าความกันไปถึงตอนที่พญามังรายแห่งแคว้นโยนก พญามังรายทรงกรีฑาไพร่พลมาตีแคว้นหริภุญชัย เมื่อได้ชัยชนะจึงมาสร้างเมืองใหม่ที่ “เชียงใหม่” ขึ้น แต่พระบรมวงศานุวงศ์บางส่วนยังประทับกันอยู่ที่โยนกเชียงแสน

มาถึงรัชสมัยของพญาผายูซึ่งรักษาการณ์อยู่ที่เชียงใหม่ จึงทรงมีพระราชดำริว่าย้ายกลับเชียงแสนดีกว่า แต่ปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์ “พญาคำฟู” ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพญาผายูเกิดอุบัติเหตุจมแม่น้ำโขงสิ้นพระชนม์ พระองค์จึงไปอัญเชิญอัฐิกลับมาไว้ที่เชียงใหม่ แล้วนำมาไว้ที่วัดพระสิงห์…เป็นจุดเริ่มต้นในการบูรณะวัดนี้

แต่…

ภาพจิตรกรรมเรื่อง “สุวรรณหงส์” เป็นบทละครนอก แต่งโดยกรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ กล่าวถึงช่าง ๒ คนได้ประดิษฐ์เรือยนต์ที่เหาะได้เป็นรูปหงส์ พระสุวรรณหงส์จึงได้ขี่เรือเหาะ ไปตามหาว่าวที่เสี่ยงทาย

ความสำคัญของเรื่องราวนั้นอยู่ในรัชสมัยของ “พระยาแสนเมืองมา” ช่วงนั้นมีเหตุการณ์สำคัญ คือ ได้พระพุทธรูปสำคัญ ๒ องค์ มายังอาณาจักรล้านนา เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ “พญากือนา” สิ้นพระชนม์ “ท้าวมหาพรหม” แห่งโยนกซึ่งเป็นพระเชษฐา ได้ยกทัพมาแย่งพระราชสมบัติจากพระราชนัดดา คือ “พญาแสนเมืองมา” ปรากฏว่ารบแพ้จึงหนีไปอยู่เมืองกำแพงเพชร

แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ๒ องค์ มาขอคืนดีกับพระราชนัดดา โดยมอบ “พระพุทธสิหิงค์” ให้ แล้วนำ “พระแก้วมรกต” ไปประดิษฐานที่เชียงแสน พญาแสนเมืองมาจึงได้ทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานที่ “วัดลีเชียง” หรือ “วัดศรีเชียง” ที่หลังจากนั้นชาวบ้านจึงเรียกว่า “วัดพระสิงห์” หรือ “วัดพระพุทธสิหิงค์”

ฉากโหดของเรื่องสุวรรณหงส์ พระสุวรรณหงส์ได้อธิษฐานเสี่ยงทายว่า หากนางเกศสุริยงรักและซื่อสัตย์ขอให้เลือดมีรสหวาน แต่หากตรงกันข้ามขอให้เลือดมีรสขม ว่าแล้วก็ตัดคอนางเกศสุริยง เมื่อชิมเลือดปรากฏว่ามีรสหวานทำให้พระสุวรรณหงส์เสียพระทัยมาก

วัดในยุคสมัยล้านนาจะมีส่วนประกอบหลักๆ เป็นขนบในการสร้างคือ ต้องมีเจดีย์ประธานและมีวิหารหลวงอยู่ทางด้านหน้า ส่วนอาคารอื่นๆ จะสร้างแทรกขึ้นมาภายหลังก็ได้ สำหรับวัดพระสิงห์

เทวดาทรงเครื่องอย่างพม่า

“เจดีย์ประธาน”

จัดอยู่ในกลุ่มเจดีย์ทรงระฆังคว่ำแบบล้านนา มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ได้รับการบูรณะซ่อมแซมในสมัยครูบาศรีวิชัย ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ซึ่งเป็นยุคฟื้นฟูบ้านเมือง ตามคติของการสืบศาสนาว่าวัดจะเศร้าหมองชำรุดไม่ได้ น่าเสียดายที่จุดสำคัญบางจุดช่างพื้นบ้านได้ดำเนินการซ่อมแซมจนลักษณะสำคัญเปลี่ยนไป แต่สันนิษฐานว่ารูปแบบเดิมน่าจะคล้ายกับเจดีย์วัดพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งเป็นยุคที่เจดีย์ศิลปะล้านนาลงตัวที่สุดแล้ว

ต่อมาในยุคปัจจุบันได้มีการบูรณะโดยกรมศิลปากร ตามหลักฐานจารึกในสมัยพญาติโลกราชเมื่อครั้งสร้างวัดเจดีย์หลวงว่า เจดีย์สำคัญให้หุ้มทองเพื่อแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ เจดีย์สำคัญในล้านนาจึงต้องมีการหุ้มทอง แต่เห็นสีทองๆ นั่นไม่ใช่ว่าเอาสีทองในยุคปัจจุบันมาทานะ แต่เป็นการนำแผ่นทองจังโกมาหุ้ม เดี๋ยวเรื่องทองจังโกนี้จะเล่าอีกทีตอนไปวัดเจดีย์หลวง

“…แม้นบุญญาธิการเคยสมสอง ขอให้ทรามสงวนนวลน้อง เห็นรูปพี่เป็นทองต้องใจรัก…” เป็นบทละครนอกเรื่องสังข์ทอง ตอน พระสังข์ได้นางรจนา ดัดแปลงมาจากชาดกเรื่อง สุวรรณสังข์ ซึ่งเป็น ๑ ใน ปัญญาสชาดก
ภาพวิถีชีวิตชาวบ้าน บุหรี่มวนใบตองหรือบุหรี่ขี้โย มักจะดับง่าย อ้ายบ่าวจึงจีบสาวด้วยการต่อบุหรี่ให้

“พระอุโบสถ”

สร้างขึ้นสมัยพระเจ้ากาวิละ ตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ ๑ มีความเรียบง่ายได้สัดส่วน ลักษณะโดยรวมคือเป็นอาคารทรงเตี้ย มีหลังคาซ้อน ด้านหน้า ๓ ชั้น ด้านหลัง ๒ ชั้น โครงหลังคาประดับด้วยช่อฟ้าและหางหงส์เป็นรูปตัวเหงา บริเวณโก่งคิ้ว และ นาคคะตัน เป็นเครื่องไม้แกะสลักลงรักปิดทอง ด้านหน้ามีมุขยื่นออกมาเพื่อทำเป็นบันไดทางขึ้น

ภาพจิตรกรรมที่กล่าวกันว่า คือ “เจ็กเส็ง” ผู้วาดภาพจิตรกรรมวัดพระสิงห์

ภายในพระอุโบสถมีลักษณะพิเศษคือ มีมณฑปทรงปราสาทที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไว้กึ่งกลางอุโบสถ แตกต่างจากอุโบสถทั่วไปที่จะประดิษฐานไว้ที่ผนังด้านในสุด จึงมีผู้สันนิษฐานว่าเนื่องจากมีภิกษุและภิกษุณีที่ต้องทำสังฆกรรมร่วมกันในพระอุโบสถนี้โดยแยกพื้นที่คนละด้าน แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าในล้านนาเคยมีภิกษุณี เรื่องนี้จึงอาจเป็นเพียงตำนานที่สร้างขึ้นภายหลัง

หอไตรวัดพระสิงห์ ได้ชื่อว่างดงามที่สุดของล้านนา มาจากคติว่า พระธรรมอันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมาะควรจะประดิษฐานอยู่บนสวรรค์ จึงสร้างหอไตรเปรียบอย่างเขาพระสุเมรุ

วิหารลายคำ

ลายคำ คือ ลายทอง ทางเหนือถ้าเป็นทองคำจะเรียก “คำ” ถ้าเป็นสำริดจึงจะเรียก “ทอง” หรือ “ตอง” เทคนิคในการสร้างลายคำนั้นไม่ได้ได้ซับซ้อนแบบภาคกลาง แต่เป็นไปโดยซื่อๆ คือ แกะลาย ทารัก และปิดทอง

วิหารลายคำเป็นตัวอย่างที่ดีของงานเครื่องไม้ล้านนา ได้รับการบูรณะครั้งสำคัญในสมัยพระเจ้ากาวิโรรสสุริยวงศ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๖ แม้จะไปเป็นศาสนคารที่ได้สัดส่วนอย่างล้านนา แต่ก็ได้รับอิทธิพลรัตนโกสินทร์มาด้วย ที่เห็นได้อย่างชัดเจนเป็นต้นว่า ช่อฟ้าที่เป็นหัวนาคสะบัดโค้ง ใบระกาและหางหงส์ที่มีนาค ๕ เศียร ๗ เศียร รวมถึงตัวอาคารที่มีฝาผนังแบบก่ออิฐถือปูนด้วย

ภายในวิหารลายคำประดิษฐาน “พระพุทธสิหิงค์”พิศดูวงหน้าท่านมีความ อิ่มกลม อมยิ้มน่ารัก พระวรกายอวบสมบูรณ์ ขัดสมาธิเพชร สังฆาติสั้นปลายตัด เป็นแบบที่เราเรียกว่า “พระพุทธรูปแบบสิงห์ ๑”

ภาพนูนต่ำสัตว์หิมพานต์ที่พบได้โดยรอบหอไตร สื่อถึงป่าหิมพานต์ที่อยู่ด้านล่างเขาพระสุเมรุ ซึ่งบนยอดเขาพระสุเมรุคือสวรรค์
แม้ปัจจุบันเจดีย์หลวงจะเหลือเพียงฐานและเรือนธาตุบางส่วน แต่ยังคงดูยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานก่อสร้างแห่งยุค ช่องซุ้มจระนำด้านทิศตะวันออกเดิมเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต

ดังที่เล่าไปข้างต้นว่าท้าวมหาพรหมเป็นผู้นำพระสิงห์มาขอคืนดีกับพญาแสนเมืองมา ถ้าใครเคยอ่านตำนาน เรื่องราวจะเล่าว่า “พระพุทธสิหิงค์เกิดขึ้นในลังกา มีพุทธลักษณะงดงามด้วยเทวดามาสร้าง แล้วพระร่วงแห่งสุโขทัยได้ยินกิตติศัพท์ความงามจึงไปขอจากพระเจ้าสิงหล ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์ตกน้ำตกทะเลไป แล้ววันดีคืนดีพระสิงห์ท่านก็มาขึ้นที่นครศรีธรรมราช แล้วพระร่วงจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่สุโขทัย ตามท้องเรื่องพระสิงห์ยังต้องผ่านเมืองต่างๆ ทั้งกัมโพช อโยธยา กำแพงเพชร กว่าจะมาได้ประดิษฐานที่เชียงใหม่”

แต่เมื่อพิจารณาพุทธลักษณะของพระพุทธรูปทางประเทศลังกานั้น ไม่พบว่ามีปางขัดสมาธิเพชร มีเพียงขัดสมาธิราบ และที่สำคัญพุทธลักษณะแบบขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย หน้ากลม อมยิ้ม ขมวดพระเกศาใหญ่ รัศมีดอกบัวตูม เป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากทางปาละและพุกาม พระสิงห์จึงน่าจะสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือล้านนา

ช่องอุโมงค์ที่อยู่ทางด้านทิศเหนือ สำหรับเดินประทักษิณเข้าไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ ปัจจุบันกรมศิลปากรณ์ได้ดำเนินการอนุรักษ์และปิดช่องทางไปแล้ว

แล้วตกลงเรื่องราวไปอย่างไรมาอย่างไร กุญแจสำคัญของเรื่อง คือ ท้าวมหาพรหมนี่เอง สันนิษฐานว่าท่านเป็นผู้จัดสร้างและเขียนตำนานโยงให้เกี่ยวเนื่องกับพุทธกาลเพื่อให้เกิดศรัทธา ดังนั้นโดยอายุหลวงพ่อพระสิงห์จึงอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐

เราในยุคหลังต้องเข้าใจว่าในยุคสมัยที่โลกยังไม่รู้จักวิทยาศาสตร์ หรือ คาร์บอน ๑๔ ก็ต้องอาศัยตำนานอภินิหารต่างๆ ในการปะติดปะต่อเรื่องราวและสร้างศรัทธานี่เอง

ภายในวิหารลายคำยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ “จิตรกรรมฝาผนัง” เรื่อง “สุวรรณสังข์”  ซึ่งเป็นชาดกเรื่องหนึ่งในปัญญาสชาดก ที่เรารู้จักกันดีในบทบาทของเจ้าเงาะแฟนของนางรจนา และ “สุวรรณหงส์” ซึ่งเป็นบทละครนอกที่กว่าจะแฮปปี้เอนดิ้งคนดูเป็นต้องเสียน้ำตากันเป็นลิตร ด้วยความสงสารพระเอกและนางเอก

แผ่นทองจังโกดั้งเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ทางด้านทิศเหนือ บ่งบอกถึงความเป็นพระธาตุสำคัญ
ช้างล้อมทางด้านทิศใต้ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า เจดีย์หลวงได้รับอิทธิพลศิลปะสุโขทัยมา ซึ่งได้รับมาจากลังกาอีกต่อหนึ่ง เนื่องจากพญาติโลกราชได้เคยแผ่แสนยานุภาพไปยังสุโขทัย

เพราะเหตุใดช่างจึงได้วาดนิทานพื้นบ้านไว้ในวิหารแทนเรื่องราวพุทธประวัติ หรือ ทศชาติ ที่ดูจะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญกว่า…

ก็นิทานพื้นบ้านสไตล์จักรๆ วงศ์ๆ น่ะ มันสื่อสารกับชาวบ้านได้ดี ถ้าเทศน์แต่เรื่องทศชาติชาวบ้านก็อาจจะเบื่อแล้ว แต่พอเป็นเรื่องสังข์ทองมันมีช่วงตอนที่สนุก ตลกขบขัน เมื่อชาวบ้านสนใจ พระจึงค่อยแทรกหลักธรรมเข้าไป

อีกทั้งสมัยก่อนไม่มีโรงเรียน ลูกชาวบ้านก็ต้องอาศัยบวชเรียนให้ได้รู้หนังสือ ครูบาท่านสอนด้วยการให้เณรคัดลอกคัมภีร์ ถ้าให้คัดไตรภูมิกถาเณรก็คงหลับ แต่ถ้าเป็นนิทานพื้นบ้านคัดไปด้วยหัดอ่านไปด้วยก็จะสนุก อยากรู้เรื่องราวในตอนต่อไป เป็นกุศโลบายการเรียนการสอน หลังจากเณรกลับไปยังวัดบ้านเกิดยังได้นำเรื่องราวไปถ่ายทอดต่อ ในภาคเหนือจึงมีหนังสือผูกใบลานชาดกนอกนิบาตอยู่มาก

พระอัฏฐารส เป็นพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่ประดิษฐานในวิหารหลวงแห่งนี้มาแต่เดิม ตามประวัติว่า สร้างขึ้นโดยพระราชชนนีของพญาติโลกราช ในพุทธศักราช ๑๙๕๐ ในรัชสมัยของพญาสามฝั่งแกน มีพุทธลักษณะที่สำคัญคือ พระพักตร์กลม ขมวดพระเกศาใหญ่ คล้ายกับพระพุทธรูปแบบเชียงแสนสิงห์ ๑ แต่มีรัศมีเป็นเปลวซึ่งได้รับอิทธิพลสุโขทัยแล้ว

ช่างเขียนผู้สร้างเรื่องเล่าบนฝาผนังนี้สันนิษฐานว่ามี ๓ กลุ่มสกุลช่าง คือ สกุลช่างไทลื้อ สกุลช่างไทใหญ่ และสกุลช่างไทยวน แต่บางข้อสันนิษฐานก็ชี้ไปที่ภาพอาแปะหนวดเรียวที่แทรกตัวอยู่มุมหนึ่งในภาพจิตรกรรมว่า “เจ็กเส็ง” เป็นคนเขียน แต่ในบันทึกราชสำนักเจ้านายฝ่ายเหนือไม่ได้มีการกล่าวถึงเจ็กเส็งเลย แต่พบว่ากล่าวถึงช่างเขียนคนหนึ่งมีฝีมือมาก ชื่อว่า “หนานน้อย” คนโบราณเวลาวาดภาพจิตรกรรมบนผนังโบสถ์วิหารจะไม่ลงชื่อไว้ ประมาณว่าเป็นการสร้างบุญโดยมีความเชื่อว่าอานิสงส์จะได้ไปเดิดในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย สรุปว่าใครผู้วาดภาพจิตรกรรมวัดพระสิงห์กันแน่จึงยังเป็นความลับต่อไป ต่างจากปัจจุบันที่ต้องทำมาหากินจึงต้องลงทั้งชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ เจ้าศรัทธางานต่อๆ ไปจะได้ตามตัวได้ถูก

บันไดในส่วนนี้ในอดีตเมื่ออัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นประดิษฐานแล้ว จึงได้ทำเป็นทางลาดเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านขึ้นไป เพราะใช้สำหรับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ปัจจุบันในช่วงปลายปีชาวเมืองมักแขวนโคมสืบชาตา เป็นบรรยากาศแปลกตาไปจากภูมิภาคอื่นๆ

นอกเหนือจากเรื่องราวในชาดก สิ่งที่น่าสนใจคือภาพกากต่างๆ ที่มีทั้งอิทธิพลรัตนโกสินทร์ และ อิทธิพลจากพม่า เช่น พวกปราสาทพญาธาตุและเจ้านาย จะแต่งตัวแบบพม่ามีมงกุฎ สวมเสื้อและมีอินธนู พวกข้าราชสำนักจะตัดผมสั้น สวมเสื้อราชปะแตน นางกำนัลไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม นุ่งโจงกระเบน

แต่หากเป็นชาวบ้านจะแต่งตัวแบบคนเมือง ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ไว้ผมมวย ผู้ชายนุ่งเตี่ยว มีสักลายตั้งแต่เอวลงไปถึงเข่า อย่างที่เรียกว่า “ลาวพุงดำ” มีภาพวิถีชีวิตเวลาไอ้บ่าวมันจีบสาวด้วยการต่อบุหรี่ขี้โยให้ ก็น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

About the Author

Share:
Tags: วัดพระสิงห์ / เจดีย์ประธาน / travel / พระอุโบสถ / เที่ยว / วิหารลายคำ / เชียงใหม่ / หอไตร / ท่องเที่ยว / วัดเจดีย์หลวง / วัดเชียงมั่น / vacation / วัดสวนดอก / วัด ประเพณี วัฒนธรรม การละเล่น / วัดอุโมงค์ / พระพุทธสิหิงค์ / เจดีย์วัดป่าแดง / ฉบับ พย 66 /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ