Monday, May 6, 2024
เพื่อสังคม พระเครื่อง ชื่นชมอดีต บทความแนะนำ กองทุนสื่อ

พระสมเด็จวัดระฆังฯ สุดยอดพระพิมพ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

สารคดีชุด พุทธธรรม พุทธศิลป์ พุทธคุณ ค้ำจุนโลก นิตยสารอนุรักษ์

พระสมเด็จวัดระฆัง
พิมพ์ใหญ่ (หน้า)
© นิตยสารอนุรักษ์
พระสมเด็จวัดระฆัง
พิมพ์ใหญ่ (หลัง)
© นิตยสารอนุรักษ์

พระสมเด็จวัดระฆังฯ

สุดยอดพระพิมพ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

             กำเนิดพระเนื้อผงพุทธคุณพิมพ์สี่เหลี่ยมที่เรียกว่าพระสมเด็จฯในสยามประเทศเริ่มแต่ครั้งที่พระญาณสังวร (สุก) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี พ.ศ. 2363 ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ ในสมัยนั้นสมเด็จพระสังฆราชสุกทรงสร้างพระสมเด็จอรหังเป็นที่ระลึก ส่วนหนึ่งได้บรรจุไว้ในพระเจดีย์ของวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ ต่อมาในสมัยท่านเจ้าประคุณสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ท่านได้สร้างพระพิมพ์สี่เหลี่ยมตามแบบสมเด็จอาจารย์ในช่วงเวลาที่ท่านได้รับสมณศักดิ์สมเด็จพระพุฒาจารย์ในปี พ.ศ. ๒๔๐๗ โดยได้จำลองแบบย่อส่วนมาจากองค์พระประธานภายในพระอุโบสถวัดระฆัง โดยลักษณะงานช่างในแบบอิมเพลสชั่นนิส   องค์พระจึงดูโดดเด่น  มีซุ้มเรือนแก้วอันเป็นปริมณฑลซึ่งจำลองเอาแบบอย่างมาจากครอบแก้วพระพุทธรูป อันหมายถึงด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยได้กลายเป็นกำแพงแก้วที่คอยป้องกันภยันตรายต่าง ๆ   ถึงแม้ว่าเส้นสายต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นพระสมเด็จฯจะดูเรียบง่ายแต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความงามที่ลงตัวอย่างหาที่ติมิได้เลย สมกับเป็นงานช่างชั้นบรมครูทีเดียว

สำหรับมูลเหตุที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ  จะได้สร้างพระพิมพ์ดังกล่าวนั้นมีเรื่องเล่าว่า  ครั้งเมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ  ขึ้นไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดกำแพงเพชร  อันเป็นเมืองหนึ่งที่มีพระพิมพ์ที่งดงามไปด้วยพุทธศิลปะสุโขทัยอันอ่อนช้อย ในครั้งนั้นท่านได้พบพระพิมพ์โบราณที่วัดเสด็จซึ่งเป็นเพียงวัดร้าง  ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯจึงนำพระพิมพ์เหล่านั้นกลับมาบางส่วนพร้อมทั้งดำริสร้างพระเพื่อสืบทอดพระศาสนาเหมือนดังที่คนโบราณเคยได้กระทำมา เรื่องราวนี้ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุเสด็จพระพาสต้น  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้มีใจความว่า “…เมื่อปีระกาเอกศก  จุลศักราช ๑๒๑๑ (พ.ศ. ๒๓๙๒)  สมเด็จพระพุฒาจารย์โต  วัดระฆังขึ้นมาเยี่ยมญาติที่เมืองกำแพงเพชร  ได้อ่านศิลาจารึกอักษรไทยโบราณมีอยู่ที่วัดเสด็จได้ความว่า  มีพระเจดีย์โบราณบรรจุพระบรมธาตุอยู่น้ำปิงฝั่งตะวันตกตรงหน้าเมืองข้าม  จึงได้ค้นคว้ากันขึ้น  พบพระเจดีย์ ๓ องค์นี้ชำรุดทั้ง ๓ องค์  เมื่อพญาตะก่าขอสร้างรวมเป็นองค์เดียว  รื้อพระเจดีย์ลงจึงได้พบพระพิมพ์  กับได้ลานเงินจารึกอักษรขอม  เป็นตำนานสร้างพระพิมพ์และวิธีบูชา…

พระสมเด็จวัดระฆัง
พิมพ์ทรงเจดีย์ (หน้า)
© นิตยสารอนุรักษ์

พระสมเด็จวัดระฆัง
พิมพ์ทรงเจดีย์ (หลัง)
© นิตยสารอนุรักษ์

            วิธีการสร้างพระของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านจะทำผงวิเศษขึ้นมาก่อน โดยนำเอาวัตถุมงคลและอาถรรพ์ต่างๆ  มาผสมผสานกับดินสอพองแล้วปั้นเป็นแท่งตากให้แห้ง เรียกว่า “ดินสอเขียนผง” จากนั้นจึงนำเอามาเขียนอักขระเลขยันต์ตามคัมภีร์โบราณบนกระดานครูซึ่งทำจากต้นมะละกอสมุกรัก  เสร็จแล้วจึงลบเอาผงมาเป็นส่วนผสมสำคัญสร้างเป็นพระสมเด็จ  การทำผงตามตำรับโบราณนี้  มีการพิถีพิถันนับแต่ส่วนผสมอันนำมาทำเป็นแท่งดินสอ  โดยมากมักเป็นดินสอพองร่อนละเอียด  บางแห่งอาจผสมเครื่องหอมกระแจะจันทน์  และยอดไม้มงคลอย่างรักซ้อน  สวาด  กาหลง  แต่บางคณาจารย์ใช้ดินเหนียวบริสุทธิ์เช่นดินขุยปู  หรือดินกลางใจนาขุดลึกสักศอกหนึ่งก็จะได้ดินบริสุทธิ์  ผสมกับสิ่งของอื่น ๆ เช่นเกสรดอกไม้  ไคลเสมา  ไคลพระเจดีย์  ดินโป่ง  ดอกบัวในปลักควาย  เป็นต้น  ผสมทำเป็นแท่งดินสอเขียนผงตามแต่เคล็ดของแต่ละสำนัก  แต่จากบันทึกของเจ้าคุณพระธรรมถาวร  ผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้กล่าวว่า  ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ  กวดขันในการปั้นดินสอพองเป็นอันมาก  ทั้งนี้ก็เพื่อหวังจะให้บังเกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ในการเขียนคาถา  เพื่อลบเอาผงวิเศษไว้ใช้ในการสร้างพระพิมพ์  ส่วนผสมของแท่งดินสอที่ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จทำขึ้นนั้นมีหลายชนิด  เรียกว่าแท่งดินสอมหาชัย  ประกอบด้วย  ดินโป่ง ๗ โป่ง  ดินตีนท่า ๗ ท่า  ดินหลักเมือง ๗ หลัก  ขี้ธูปบูชาพระประธานในโบสถ์  ดอกกาหลง  ยอดสวาท  ยอดรักซ้อน  ไคลเสมา  ไคลประตูวัง  ไคลเสาตะลุงช้างเผือก  ราชพฤกษ์  ชัยพฤกษ์  ใบพลูร่วมใจ  พลูสองทาง  กระแจะตะนาว  น้ำบ่อเจ็ดรส  และดินสอพองละเอียด  ส่วนผสมทั้งหมดนี้ผสมกันปั้นเป็นแท่งไว้สำหรับเขียนผงตามตำราต่อไป

การทำผงเพื่อสร้างพระสมเด็จนั้น  สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต  พฺรหฺมรังสี) ได้ทำผงปถมัง  อิทธิเจ  ตรีนิสิงเห  มหาราช  และพุทธคุณ  ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียกผงวิเศษทั้ง ๕ คัมภีร์หรือผงวิเศษ ๕ ประการ  ผงแต่ละชนิดนั้นมีพิธีกรรมการลบสูตรสนธิและอานุภาพแตกต่างกันออกไป  เมื่อมาผสมอยู่รวมกันแล้วก็จะบังเกิดคุณานุภาพประเสริฐดุจดั่งแก้วสารพัดนึกและด้วยอานุภาพของผงวิเศษเหล่านี้กอปรกับบารมีของผู้สร้างคือท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯทำให้พระสมเด็จวัดระฆังได้รับสมญาจักรพรรดิแห่งพระเครื่อง

ส่วนตัวประสานหรือตัวยึดเกาะนั้น ท่านใช้  น้ำมันตังอิ๊ว  น้ำอ้อย  น้ำผึ้ง  กล้วย และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือเยื่อกระดาษที่ได้จากการที่เอากระดาษฟางหรือกระดาษสาลงอักขระเลขยันต์ต่าง ๆ มาแช่น้ำไว้จนกระดาษละลายเป็นเมือกดีแล้ว  จึงนำมากรองเพื่อเอาเยื่อกระดาษมาผสมผสานบดตำลงไป  เชื่อกันว่าตัวเยื่อกระดาษนี้เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้เนื้อพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามมีความหนึกนุ่ม  เนื้อจึงไม่แห้งและกระด้าง 

พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่
“องค์ร้านตัดเสื้อ” (หน้า)
© นิตยสารอนุรักษ์
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่
“องค์ร้านตัดเสื้อ” (หลัง)
© นิตยสารอนุรักษ์

              ด้านแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังนั้น  สันนิษฐานว่าพระพิมพ์สมเด็จฯที่สร้างในยุคต้น ๆ นั้นเส้นสายจะค่อนข้างบาง อาจเป็นด้วยความใหม่ต่อการทำแม่พิมพ์งานที่ออกมาจึงดูไม่เรียบร้อย แขนหรือพระหัตถ์ไม่เท่ากันไม่สมดุลโย้เอียงไป  ซอกรักแร้สองข้างไม่สมดุลข้างซ้ายลึกกว่าข้างขวา  หัวไหล่ไม่เสมอข้างขวามนข้างซ้ายตัดเอียงลงดูไม่สวย  หูหรือพระกรรณในแม่พิมพ์มี แต่พอพิมพ์ออกมาแค่ติดรางๆ  ฐานสิงห์ชั้นกลาง ฐานไม่คมขาฐานจะติดชัดข้างติดไม่ชัดข้างดูไม่สวยงาม เวลาถอดพระออกจากแม่พิมพ์เอามาตัดแต่งโดยใช้ตอกตัด บางคนตัดแต่งไม่ระวังหรือตัดไม่ชำนาญจะตัดแฉลบเข้าหาซุ้มพระทำให้ไม่ได้รูปดูไม่สวยและเสียหายมาก 

   การแกะพิมพ์พระชุดใหม่ของท่านโดยหลวงวิจารณ์เจียรนัย เจ้ากรมช่างสิบหมู่ (ช่างสิบหมู่นี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นจำนวนสิบ แต่สิบตัวนี้เป็นภาษาบาลีความเดิมเขียนว่า สิปปะ  ช่างสิปปะตรงกับในสันสกฤตแปลว่า “ศิลปะ” ช่างสิบหมู่คือช่างงานศิลปะ โดยในราชการของหลวงก็ต้องทำของใช้ในส่วนของราชการส่วนพระ ส่วนราชสกุล และบริการแก่ศาสนา กรมช่างสิบหมู่เดิมก็ถูกรวมเป็นกรมศิลปากรแล้วก็มาเป็นกองหัตถศิลป์ใน) จะเพิ่มการตัดขอบพระโดยเพิ่มเส้นบังคับพิมพ์ให้รู้ตำแหน่งการตัด แบบพิมพ์ที่แก้ไขแล้ว เวลาตัดขอบพระมักจะตัดออกมาเป็นแนวสี่เหลี่ยมผืนผ้าได้รูป  เส้นสายต่าง ๆ ดูหนาขึ้น บางองค์ปรากฏเส้นสังฆาฏิด้วย โดยมีแม่พิมพ์มาตรฐาน ทั้งหมด ๕ พิมพ์ด้วยกันคือ พิมพ์พระประธาน พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ฐานแซม พิมพ์เกศบัวตูมและพิมพ์ปรกโพธิ์ ภายหลังเหลือเพียง ๔ พิมพ์แรกเนื่องจากพิมพ์ปรกโพธิ์นั้นพบพระที่ถึงยุคน้อยมาก

พระสมเด็จวัดระฆังฯ
พิมพ์ฐานแซม
องค์จ่าศักดิ์
© นิตยสารอนุรักษ์
พระสมเด็จวัดระฆังฯ
พิมพ์ฐานแซม
องค์คุณประกาศ
© นิตยสารอนุรักษ์
พระสมเด็จวัดระฆังฯ
พิมพ์ฐานแซม
องค์จ่าศักดิ์
© นิตยสารอนุรักษ์
พระสมเด็จวัดระฆังฯ
พิมพ์ฐานแซม
องค์คุณประกาศ
© นิตยสารอนุรักษ์

                 พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามในท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯนั้นเป็นพระที่สร้างแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามแต่โอกาสและเวลาจะอำนวย หาได้สร้างเป็นครั้งเดียวไม่  ที่เชื่ออย่างนี้เพราะพระแต่ละพิมพ์ของท่าน  เนื้อหาตลอดจนมวลสารนั้นมีอ่อนแก่กว่ากัน  ละเอียดบ้าง  หยาบบ้าง สีสันวรรณะก็มีแตกต่างกันไปตั้งแต่ขาวอมเหลืองจนถึงวรรณะน้ำตาลเข้ม

              เมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านสิ้นใหม่ๆ พระสมเด็จที่ท่านได้สร้างไว้ยังไม่ค่อยมีผู้ใดสนใจ มากนัก “ กล่าวกันว่า ภายหลังเจ้าคุณสมเด็จฯ สิ้นชีพิตักษัย พระสมเด็จที่ท่านเจ้าประคุณได้สร้างเอาไว้ถูกเก็บรักษาในบาตรบ้าง กระบุงบ้าง ตั้งไว้ที่หอสวดมนต์นั้น และได้ขนย้ายเอาไปไว้ที่ในวิหารวัดระฆัง บ้างว่าเอาไว้ที่บนเพดานวิหารก็มี ในสมัยนั้นใครใคร่หยิบก็หยิบกันไป จนกระทั่งก่อนจะมีอหิวาตกโรคระบาดใหญ่ ในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ วันหนึ่งมีคนชาวอ่างทอง ป่วยเป็นอหิวาตกโรค จนอาการเป็นตายเท่ากัน ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปเข้าฝัน บอกว่ายังไม่ถึงที่ตาย ให้รีบไปวัดระฆังไปเอาพระสมเด็จที่เก็บไว้ในวิหารน้อยเอามาอธิษฐานทำน้ำมนต์กินก็จะหาย ญาติ ๆ จึงรีบพายเรือมาที่วัดระฆัง แล้วนำเอาพระสมเด็จที่วิหารน้อยไปทำน้ำมนต์ให้คนป่วยกินจนหายป่วย เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดประชาชนมุ่งหน้าสู่วัดระฆัง เพื่อขอพระสมเด็จไปทำน้ำมนต์ให้คนป่วยกิน พระสมเด็จที่มีอยู่เริ่มหมดลง มีหลายคนเก็บไว้จำนวนมากอยู่ และได้นำมาขายในราคาองค์ละ ๓ – ๕ ตำลึง (๑๒-๑๕ บาทซึ่งนับว่ามีราคาที่สูงมาก เนื่องจากทองคำบาทละไม่เกินสิบบาทในสมัยนั้น) 

ชมสารคดี

https://youtu.be/N3EeG4Og8Uo

About the Author

Share:
Tags: พระ / พระเครื่อง / พระสมเด็จวัดระฆังฯ /

เรื่องราวอีกมากมายที่คุณจะชอบ