การเดินทางของกระดาษเก่า….แล้วเราจะกลายเป็นอะไรนะ?
โครงการรีไซเคิลกระดาษใช้แล้ว เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้โครงการ Bualuang Save the Earth
คนไทยใช้กระดาษเฉลี่ยปีละ ๓.๙ ล้านตัน
จากข้อมูลของโครงการกระดาษเพื่อต้นไม้ โดยมูลนิธิศูนย์สื่อเพื่อการพัฒนา พบว่าคนไทยใช้กระดาษเฉลี่ยปีละ ๓.๙ ล้านตัน หรือคนละประมาณ ๖๐ กิโลกรัมต่อปี ดังนั้นเพื่อสนองความต้องการใช้กระดาษของคนไทย ต้องมีการตัดต้นไม้ถึง ๖๖.๓ ล้านต้นต่อปี หรือเท่ากับว่าทุกๆ ๑ นาที จะมีการตัดต้นไม้ถึง ๑๒๖ ต้น โดยทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการผลิตกระดาษ ๑ ตัน ต้องใช้ต้นไม้มากถึง ๑๗ ต้น ใช้กระแสไฟฟ้ามากถึง ๔,๑๐๐ กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ใช้น้ำ ๓๑,๕๐๐ ลิตร และปล่อยคลอรีนที่ใช้ในการฟอกกระดาษเป็นของเสียกว่า ๗ กิโลกรัม
“ชุบชีวิตกระดาษใช้แล้ว” ภายใต้โครงการ Bualuang Save the Earth
ธนาคารกรุงเทพ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า จึงได้จัดทำโครงการ “ชุบชีวิตกระดาษใช้แล้ว” โดยมีกระบวนการจัดการกระดาษใช้แล้วให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเปิดรับบริจาคปฏิทินเก่า โบรชัวร์หมดอายุ และนิตยสารเก่า เพื่อชดเชยการผลิตกระดาษใหม่และทดแทนด้วยกระบวนการรีไซเคิล ซึ่งจะสามารถช่วยลดมลพิษทางอากาศได้ถึง ๗๔% รวมถึงลดปริมาณการใช้น้ำในการผลิต โดยกระดาษเก่า ๑ ตัน สามารถทดแทนการตัดต้นไม้เพื่อทำเป็นกระดาษได้ถึง๑๕ ต้น
เดินหน้าต่อเนื่อง ชุบชีวิตกระดาษใช้แล้วกว่า ๖,๐๐๐ กิโลกรัม
ในระยะเวลา ๒ ปีที่ผ่านมา โครงการ Bualuang Save the Earth ได้รับบริจาคกระดาษใช้แล้ว ได้แก่ ปฏิทินเก่า โบรชัวร์หมดอายุ และนิตยสารเก่า รวมแล้วกว่า ๖,๐๐๐ กิโลกรัม และได้นำเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเพื่อรีไซเคิลเป็น “ถุงกระดาษ” ให้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ใหม่ โดยช่วยลดการตัดต้นไม้ได้ถึง ๑๐๕ ต้น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ๔,๑๘๒ กิโลกรัม ลดการใช้น้ำกว่า ๑๖๐,๐๐๐ ลิตร ลดการใช้เชื้อเพลิง ๘,๖๑๐ ลิตร และลดการใช้พลังงาน ๒๔,๖๐๐ กิโลวัตต์
ให้โอกาสกระดาษเก่า ได้ทำหน้าที่เพื่อสังคมต่อไป
โดยถุงกระดาษที่ได้จากการรีไซเคิลเหล่านี้ ธนาคารได้นำไปมอบให้แก่ มูลนิธิหน่วยแพทย์และทันตแพทย์เคลื่อนที่ และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อใช้บรรจุยาและเวชภัณฑ์ให้แก่ผู้รับบริการทางการแพทย์ ทำให้กระดาษเก่าเหล่านี้ได้โอกาสกลับมาทำหน้าที่เพื่อสังคม และเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของธนาคารในการรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป
About the Author
